อัปเดตสถานการณ์ Trump ขึ้นภาษี อ่านก่อนตัดสินใจพลาด!

ข่าวดังในช่วงนี้ ก็คงหนีไม่พ้น ข่าวการประกาศขึ้นภาษีนำเข้า จาก Trump ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
โดยจะขึ้นภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้าทุกประเภททั่วโลกที่สหรัฐฯ นำเข้า และเพิ่มภาษีเฉพาะประเทศ ไม่ว่าจะเป็น จีนที่บวกเพิ่ม 34%, สหภาพยุโรป 20% ญี่ปุ่น 24% ไต้หวัน 32% และไทย 36% แต่ยังคงเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศสามารถเจรจาจาต่อรองได้
วันนี้ Jitta Wealth มาสรุปให้คุณอีกรอบว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง และที่สำคัญมันน่ากลัวอย่างที่ใครๆ เขากังวลกันไปแล้วหรือยัง และเราจะรับมือกับมันได้อย่างถูกต้องเหมาะสมได้อย่างไร
สถานการณ์ล่าสุด (9 เม.ย. 68)
หลังจากประกาศขึ้นภาษีไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บางประเทศเริ่มออกมาตรตอบโต้ และหลายประเทศเริ่มติดต่อเจรจา ซึ่งล่าสุด Trump ได้ประกาศชะลอภาษี Reciprocal Tariffs ออกไป 90 วัน แต่ยังคงเพิ่มภาษีตอบโต้ประเทศจีนเป็น 125%
นั้นหมายความว่า สถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่มีอะไรแน่นอน และเราเองยังคงต้องติดตามข่าวสารเรื่องนี้กันต่อไป
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
การขึ้นภาษีและการตอบโต้ระหว่างประเทศส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นจีน เวียดนาม ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เองก็ปรับตัวลงที่ 3-15% จากความกังวลของนักลงทุนที่ส่งผลให้ตลาดเกิดแพนิก และขายหุ้นต่อกันเป็นทอดๆ ในระยะสั้นๆ
แต่หลังจาก Trump ประกาศชะลอภาษี Reciprocal Tariffs ออกไปอีก 90 วัน ตลาดก็กลับมาปรับบวกทันที Nasdaq +10% S&P 500 +12% และตลาดญี่ปุ่นเองก็ดีดตัวเกือบ +10% ส่วนตลาดอื่นๆ ยังต้องติดตามกันต่อไป
จากสถานการณ์ปัจจุบันจะเห็นว่า ตลาดหุ้นมีความผันผวน และอ่อนไหวกับสถานการณ์ มีโอกาสปรับตัวลง และดีดตัวขึ้นค่อนข้างแรง การตัดสินใจเทขายหุ้นในช่วงนี้อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน
นักวิเคราะห์หลายสำนักมองตลาดหุ้นในช่วงนี้ว่าแม้จะไม่สามารถคาดการณ์จุดต่ำสุดและจุดกลับตัวได้ แต่อย่างไรก็ตามตลาดจะฟื้นตัวกลับมาได้ในท้ายที่สุด ซึ่งในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรพิจารณากลยุทธ์ดังต่อไปนี้
นิ่งไว้! ทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ดีก่อนตัดสินใจ
ในช่วงที่ตลาดกำลังตื่นตระหนก นักลงทุนต่างเทขายหุ้นต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น ควรทำความเข้าใจสถานการณ์ วิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นว่ามีผลกับพอร์ตลงทุนของคุณอย่างไร
นิ่งเอาไว้ก่อน ตัดสินใจด้วยเหตุและผล ไม่ตระหนกไปกับความผันผวนในระยะเวลาสั้นๆ
คำแนะนำจาก Vanguard บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก บอกว่า วันที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดของตลาดหุ้นมักเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจุดต่ำสุดหรือจุดกลับตัวอยู่ตรงไหน การยังอยู่ในตลาด มีโอกาสสร้างผลตอบแทน หรือทำให้พอร์ตฟื้นตัวได้ดีกว่าสังเกตการณ์อยู่นอกตลาด
ทบทวนกลยุทธ์ เพื่อมองหาโอกาส
ทบทวนการลงทุนของคุณว่ายังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ หากคุณต้องการลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว สถานการณ์นี้อาจหมายถึงโอกาสที่คุณจะได้ซื้อหุ้นในราคาที่ถูกลงเพื่อคว้าโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในอนาคต
หากคุณกำลังลงทุนอยู่ การถัวเฉลี่ยต้นทุนด้วยการ DCA ก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้ผ่านช่วงตลาดตกได้ เพราะเป็นเรื่องยากที่จะกะเก็งว่า เมื่อไรควรจะซื้อหรือขาย การอยู่ในตลาดช่วงขาลง จะช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสทำผลตอบแทนในตอนที่ตลาดกลับตัว
ทบทวนกลยุทธ์การลงทุนของคุณ ว่ากระจายความเสี่ยงและเลือกสินทรัพย์ที่ดี มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งอยู่แล้วหรือไม่
หากคุณมีพอร์ตหลัก (Core Port) ที่กระจายความเสี่ยงดีอยู่แล้ว มั่นคงอยู่แล้ว ก็สามารถเลือกคว้าโอกาสลงทุนหุ้นสหรัฐฯ หรือตลาดหุ้นอื่นๆ เช่น จีน เวียดนาม ที่กำลังตกอยู่ในช่วงนี้ เป็นพอร์ตรอง (Satellite Port) เพื่อโอกาสทำผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในอนาคตได้
ซึ่งคุณสามารถจัดพอร์ต Core & Satellite ด้วยนโยบายต่างๆ ของ Jitta Wealth ได้ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
- ลงทุนใน Global ETF เป็นพอร์ตหลัก (Core Port)
- ลงทุนใน Jitta Ranking แผนต่างๆ ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จีน เวียดนาม หรือลงทุนผ่าน ETF ธีมต่างๆ ใน Thematic เป็นพอร์ตรอง (Satellite Port)
โดยสัดส่วนขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความเสี่ยงที่คุณรับได้
คำแนะนำจาก CEO Jitta Wealth
มาฟังอัปเดตสถานการณ์ล่าสุด รวมถึงมุมมองและคำแนะนำจาก 2 ผู้บริหาร Jitta Wealth
คุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO และ คุณอ้อ พรทิพย์ กองชุน CGO ที่จะมาวิเคราะห์สถานการณ์ และแนวทางการลงทุนอย่างไร ให้ไม่แพ้ใน Trade War
การขึ้นภาษีนำของสหรัฐฯ เข้าและการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลก แต่อย่างไรก็ตามเรื่องราวยังไม่ได้ข้อสรุป 100% สหรัฐฯ ยังคงเปิดโต๊ะเจรจา ดังนั้นนักลงทุนควรเตรียมพร้อมและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสม เพื่อลดการตัดสินใจผิดพลาด และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
เรื่องราวการฝ่าวิกฤติ และวิธีรับมือตลาดหุ้น ที่น่าสนใจ