หุ้นจีนวันนี้น่าลงทุนไหม? เจาะลึกตลาดหุ้นใหญ่อันดับ 3 ของโลก

ไฮไลต์
- ฮ่องกงคือจุดเริ่มต้นของการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดทุนจีน ด้วยการก่อตั้ง HKEX ตั้งแต่ปี 1914
- ตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่เริ่มเติบโตจริงจังหลังปี 1978 เมื่อมีนโยบายเปิดประเทศ และก่อตั้งตลาดหุ้นในปี 1990
- ตลาดหุ้นจีนติด Top 10 ของโลกถึง 3 แห่ง SSE อันดับ 3 HKEX อันดับ 7 SZSE อันดับ 8
- จีนยังคงมีศักยภาพการเติบโตสูง ด้วยขนาดเศรษฐกิจ จำนวนประชากร บริษัทเทคโนโลยี และราคาหุ้นที่ยังต่ำกว่าพื้นฐาน
- ตอนนี้หุ้นจีนถือว่ามี “คุณภาพดี ราคาถูก” มากที่สุดในโลก ถือเป็นตัวเลือกที่ดี มีโอกาสเติบโตระยะยาว
กว่าจะมาเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก จีนเคยผ่านอะไรมาบ้าง เราจะพาคุณย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้น ตั้งแต่อดีตที่ประชาชนติดฝิ่น เกิดสงครามจนกลายเป็นรากฐานการเงินที่ทำให้จีนกลายประเทศที่น่าลงทุนอันดับต้นๆ ของโลกในตอนนี้ พร้อมเหตุผลที่ชี้ให้เห็นว่า ตอนนี้ประเทศจีนน่าลงทุนแค่ไหน
จากสงครามฝิ่น สู่จุดเริ่มต้นตลาดหุ้นจีน
ปัจจุบันตลาดหุ้นจีนมีอายุ 134 ปี จุดเริ่มต้นก็ต้องย้อนกลับไปไกลถึงช่วงศตวรรษที่ 18-19 ที่อังกฤษเริ่มติดต่อค้าขายกับจีนแต่สินค้าที่นำมา เช่น ผ้าไหม เครื่องลายครามที่นิยมมากในยุโรป ดันขายไม่ค่อยได้ อังกฤษก็เลยเริ่มนำฝิ่นจากอินเดียมาขายแทน
ตอนนั้นเรียกได้ว่าคนจีนติดงอมแงม แบบไม่เป็นอันทำอะไรจนจีนต้องออกกฎหมายห้ามกันเลยทีเดียว
แต่ไม่จบแค่นั้น เพราะจีนโกรธแค้นมาก สั่งเผาฝิ่นของพ่อค้าอังกฤษเป็นพันหีบ ลุกลามจนเกิดเป็นสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ในช่วงปี ค.ศ. 1839 จีนพ่ายแพ้จนต้องยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษไป นำมาสู่การเปิดประเทศและการเงินแบบตะวันตก
ฮ่องกง สะพานเชื่อมทางการเงิน
หลังจากเกาะเล็กๆ อย่างฮ่องกงตกเป็นของอังกฤษ กลายเป็นเมืองท่าค้าขาย ดึงดูดผู้คนมากมาย ประชากรก็เยอะขึ้น อังกฤษก็เริ่มตั้งธนาคาร บริษัทค้าเงิน และระบบการเงินแบบตะวันตก
บวกกับจุดแข็งของฮ่องกงที่เป็นท่าเรือน้ำลึก สามารถค้าขายได้ทั้งปี และกฎหมายแบบอังกฤษ ที่ไม่มีภาษีการค้า ทำให้ฮ่องกงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของจีน แผ่นดินใหญ่ด้วยเช่นกัน
การขยายอิทธิพล กำเนิดตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX)
เมื่อฮ่องกงที่ดูจะไปได้สวย อังกฤษจึงไม่หยุดอยู่แค่นั้น ปี ค.ศ. 1856 ได้เปิดศึกยึดพื้นที่เพิ่มเพื่อเสริมสร้างอำนาจทางการค้า ฮ่องกงจึงไม่ใช่แค่เมืองท่า แต่กลายเป็นศูนย์กลางการเงิน
ดังนั้นฮ่องกงจึงกลายเป็นสะพานระหว่างเศรษฐกิจฝั่งตะวันตกกับตะวันออก เมื่อเศรษฐกิจโต การเงินก็ต้องโตตาม จากสมาคมโบรกเกอร์ที่ก่อตั้งในปี 1891 ก็กลายเป็นตลาดหุ้นฮ่องกง หรือ Hong Kong Stock Exchange (HKEX) ในปี ค.ศ. 1914
และหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี ค.ศ. 1947 ที่เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจพุ่งแรง ตลาดหุ้นฮ่องกงก็เดินหน้าไม่หยุด เปิดสาขาใน London และ New York เพื่อให้บริษัทต่างชาติเข้ามาเปิดบริษัท และ IPO ที่นี่
และแม้ในปี ค.ศ. 1997 อังกฤษจะคืนฮ่องกงให้กับจีน แต่ฮ่องกงยังคงใช้ระบบเศรษฐกิจเสรี กฎหมายอังกฤษ
จุดเริ่มต้นของตลาดหุ้น ในจีนแผ่นดินใหญ่
แม้ฮ่องกงดูจะไปได้สวย กลายเป็นสะพานเศรษฐกิจเชื่อมโลก ตั้งแต่ช่วงปี 1947 ตัดภาพมาที่จีนแผ่นดินใหญ่ ที่เป็นต้นน้ำของทรัพยากรและแรงงาน กลับยังไม่มีตลาดการเงินของตัวเองที่มั่นคง
ตั้งแต่ปี 1912 ที่เปลี่ยนระบบการปกครอง ปฏิรูปการเมือง แต่เศรษฐกิจก็ยังคงล่มสลาย กลายเป็นสนามรบของอำนาจภายนอก ทั้งอังกฤษ รัสเซีย หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่น และเจอกับวิกฤติภายใน ความขัดแย้งทางการเมือง
จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม ปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีน นำโดย Mao Zedong ได้ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน การพัฒนาเศรษฐกิจก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสิบปีของการปฏิวัติวัฒนธรรม (ปี 1966-1976) เศรษฐกิจจีนแทบจะหยุดนิ่ง ประเทศไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
กระทั่งปี 1978 Deng Xiaoping ประกาศนโยบายเปิดประเทศ สร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น เมือง Shenzhen ที่ติดกับฮ่องกง เงินทุนจากทั่วโลกเริ่มไหลเข้าสู่จีน นำมาสู่การฟื้นฟูด้านการเงินที่เมืองศูนย์กลางอย่าง Shanghai จนนำไปสู่การก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ในปี 1990

รู้จักตลาดหุ้นจีนให้มากขึ้น
จีนมีตลาดหุ้นอะไรบ้าง
ผ่านความยากลำบากมามากมาย ปัจจุบันจีนกลายเป็นมหาอำนาจของโลก และมีตลาดหุ้นหลักถึง 4 ตลาดด้วยกัน
- Hong Kong Stock Exchange (HKEX)
ตลาดหุ้นฮ่องกง แม้จะอยู่ภายใต้การปกครองพิเศษ แต่ถือว่าเป็นตลาดทุนสำคัญของจีน เพราะมีมาตรฐานที่เป็นสากล ใช้ภาษาอังกฤษ และเข้าถึงจากต่างประเทศได้ง่าย มีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มากมายซึ่งเราคุ้นชื่อกันดี เช่น Tencent Alibaba และ Xiaomi
- Shanghai Stock Exchange (SSE)
เป็นบ้านของบริษัทขนาดใหญ่ในจีน เช่น Bank of China และ Petro China เป็นตลาดสำหรับรัฐวิสาหกิจ เช่น กลุ่มพลังงาน การเงิน และอุตสาหกรรมหลักๆ ของจีน ซื้อขายด้วยเงินหยวน และเคยจำกัดนักลงทุนต่างชาติอย่างเข้มงวด
- Shenzhen Stock Exchange (SZSE)
เรียกว่าเป็นโลกใบใหม่ของหุ้นจีนเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้บริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้าจดทะเบียน ซึ่งคุณจะพบกับบริษัทอย่างพวก BYD ที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Mindray ผู้ผลิตเครื่องมือการแพทย์ที่เติบโตเร็วสุดๆ
- Beijing Stock Exchange (BSE)
เป็นตลาดใหม่ที่จัดตั้งมาเพื่อ สนับสนุน SMEs (ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก) และนวัตกรรม ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เป็นสิ่งที่สะท้อนว่าจีนไม่ได้สนใจแต่บริษัทใหญ่ๆ แต่ยังหันมาโอบอุ้มธุรกิจเล็กๆ ด้วยเช่นกัน
ตลาดหุ้นจีนใหญ่แค่ไหน
หากวัดกันที่ขนาดของมูลค่าตลาด (Market Cap) ตลาดหุ้น Shanghai Stock Exchange (SSE) ของจีนถือว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกเลยทีเดียว (อันดับ 1 และ 2 คือ New York Stock Exchange (NYSE) และ Nasdaq ของสหรัฐฯ)
นอกจากจะมีตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกแล้ว ยังมีถึง 3 ตลาด ที่ติด Top 10 เลยด้วย
- Shanghai Stock Exchange (SSE) อันดับ 3 มีมูลค่าตลาดราว 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- Hong Kong Stock Exchange (HKEX) อันดับ 7 มีมูลค่าตลาดราว 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- Shenzhen Stock Exchange (SZSE) อันดับ 8 มีมูลค่าตลาดราว 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
(อ้างอิงข้อมูลจาก World Federation of Exchanges)
หุ้นจีนแต่ละแบบคืออะไร
หลายคนอยากลงทุนหุ้นจีน แต่ไปเจอกับคำว่า A-shares H-shares แต่สับสนสุดๆ ว่าควรลงทุน
- A-shares: คือหุ้นที่ซื้อขายได้ในตลาด Shanghai และ Shenzhen ซึ่งนักลงทุนต่างชาติไม่สามารถเข้าไปลงทุนตรงๆ ได้ ต้องผ่านระบบพิเศษที่ชื่อว่า Stock Connect ที่เชื่อมกับตลาดฮ่องกงเท่านั้น ซึ่ง A-shares ถือเป็นหัวใจของตลาดหุ้นจีน ใช้ดัชนี CSI300 ซึ่งรวมบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในจีน 300 บริษัท คิดเป็น 70% ของมูลค่าตลาดหุ้นจีนเลยทีเดียว
- H-shares: คือบริษัทจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง เช่น Ping An Insurance และ China Mobile
- Red Chips: คือบริษัทที่รัฐบาลจีนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ไปตั้งบริษัทนอกประเทศ เช่น China Unicom
- P-Chips: คือบริษัทที่เอกชนถือหุ้น 100% แต่ไปตั้งบริษัทนอกประเทศ เช่น Tencent
- ADR (American Depositary Receipt): คือบริษัทจีนที่ไปจดทะเบียนในสหรัฐฯ เช่น Alibaba ที่ไปจดทะเบียนในชื่อ BABA
วันนี้หุ้นจีนยังน่าลงทุนหรือไม่
จีนยังคงเป็นประเทศที่ครองความได้เปรียบไว้มากมาย
- ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
- ประชากรที่มากถึง 1,400 ล้านคน
- GDP โตที่สุดในโลกช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
- กำลังจะเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
แม้ประชากรจะเยอะขนาดไหน แต่บริษัทจีนก็ไม่หยุดแค่ในประเทศ บริษัทชั้นนำมากมายของจีนก็ตีตลาดนอกประเทศสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็น BYD ก็กำลังเติบโตแซง Tesla ในด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า Tencent ก็ครองตลาดเกมในเอเชีย และ Social Media ที่เป็นชีวิตจิตใจของคนจีนอย่าง WeChat หรือ Alibaba ที่ไม่ใช่แค่อีคอมเมิร์ซ แต่รวมถึงโลจิสติกส์ทั่วโลกด้วย
หรือจะดูจาก Power Score วัด 8 มิติ จากหนังสือ The Changing World Order ของ Ray Dalio ประเทศจีนก็มีคะแนนอยู่ที่ 0.8 ตามหลังอันดับ 1 อย่างสหรัฐฯ ที่มีคะแนน 0.89 แบบหายใจรดต้นคอ
แม้จีนจะยังมีปัญหาเศรษฐกิจบางภาคส่วนที่ยังไม่ฟื้นตัวดี แต่โดยรวมก็ยังคงเติบโตอยู่ รัฐบาลยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจ และหลายบริษัทยังมีพื้นฐานแข็งแกร่งที่ยังสามารถเติบโตได้
หรือจะมองเทียบราคาหุ้น ตอนนี้หุ้นจีนถือว่าถูกกว่าความเป็นจริงค่อนข้างมาก มีสัดส่วนหุ้นคุณภาพดีราคาถูกมากว่าหุ้นคุณภาพดีราคาแพงหลายเท่าเลยทีเดียว ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในขณะนี้ ส่งให้หุ้นจีนน่าลงทุนและเป็นที่สนใจของนักลงทุนมากมาย
อยากลงทุนหุ้นจีน Jitta Wealth มีให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใน ETF ธีมต่างๆ ทั้งธีมตลาดหุ้นจีน เทคโนโลยีจีน เทคโนโลยีสุขภาพจีน พลังงานสะอาดจีน มีให้เลือกลงทุนในนโยบาย Thematic DIY
จะลงทุนหุ้น A-shares คุณภาพดีราคาถูก ก็สามารถลงทุนได้ในนโยบาย Jitta Ranking หุ้นจีน แต่ถ้ากลัวว่าปีนี้ลงทุนจีนไปแล้ว ปีหน้าปีต่อไปมีประเทศอื่นน่าลงทุนกว่าแล้วจะต้องทำยังไง ก็สามารถเลือก Jitta Ranking Alpha ที่คอยรีวิวเลือกประเทศที่น่าลงทุนที่สุดให้ทุกปี ซึ่งปีนี้ Alpha AI เลือกประเทศจีน
หากสนใจการลงทุนสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือ โทร 02-460-8888 ปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย